ประเพณีแซนโดนตา
ในท้องทุ่งกว้าง ใต้แสงตะวัน
เด็ก ๆ (โกนเจา)ได้เรียนรู้และสัมผัสวิถีชีวิตวัฒนธรรมที่เรียบง่าย
โดยมีผู้ใหญ่ ครอบครัว ชุมชน และธรรมชาติเป็นครู
โลกแห่งการเรียนรู้ของเด็กน้อย วัยใส
จึงเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ร่าเริง และรื่นรมย์ จนกระทั่งฉันเติบโต เห็นในคุณค่าของสิ่งที่สืบทอดมาจาก แม เอว ตา เย็ย.......
เด็ก ๆ (โกนเจา)ได้เรียนรู้และสัมผัสวิถีชีวิตวัฒนธรรมที่เรียบง่าย
โดยมีผู้ใหญ่ ครอบครัว ชุมชน และธรรมชาติเป็นครู
โลกแห่งการเรียนรู้ของเด็กน้อย วัยใส
จึงเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ร่าเริง และรื่นรมย์ จนกระทั่งฉันเติบโต เห็นในคุณค่าของสิ่งที่สืบทอดมาจาก แม เอว ตา เย็ย.......
......ประเพณีแซนโดนตา.....
เป็นประเพณีหนึ่งที่มีความสำคัญที่ปฏิบัติทอดกัน มาอย่างช้านานของชนเผ่าเขมรเป็นการแสดงออก ถึงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ สะท้อนให้เห็นถึงความรักความกตัญญูของสมาชิกในครอบครัว แซนโดนตา หมายถึง การทำบุญให้ยาย และตา หรือบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ตรงกับวันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๑๐ ชาวเขมรถือว่า เป็นวันรวมญาติซึ่งทุกคนจะไปรวมกัน ณ บ้านที่จุดศูนย์กลางของครอบครัวโดยเฉพาะ บ้านของผู้ที่อาวุโส ที่สุดของครอบครัว ผู้ที่จะมาต้องเตรียมของเซ่นไหว้ (นม แนก เจก อันซอม) เช่น ไก่ เนื้อ หมู ปลา ข้าวสาร ข้าวสวย กล้วย ผลไม้ ขนม กระยาสารท และข้าวต้มหางยาว ใส่ “กันเจือโดนตา” เพื่อมาไหว้บรรพบุรุษของโดยมีความเชื่อกันว่าผู้ที่ตายแล้ว จะต้องไปอยู่ที่ยมโลก เมื่อถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 วิญญาณก็จะได้รับอนุญาต ให้มาเยี่ยมลูกหลานในเมืองมนุษย์ การเดินทางอันแสนไกลนี้ ทำให้เหน็ดเหนื่อยหิวโซ ต้องแวะตามวัดต่างๆ เพื่อให้ได้รับส่วนบุญที่ลูกหลานอุทิศส่งไปให้ หากไม่ได้รับวิญญาณบรรพบุรุษก็จะโกรธและสาปแช่งเป็นผลทำให้ลูกหลาน “โกนเจา” หากินไม่ขึ้น
เป็นประเพณีหนึ่งที่มีความสำคัญที่ปฏิบัติทอดกัน มาอย่างช้านานของชนเผ่าเขมรเป็นการแสดงออก ถึงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ สะท้อนให้เห็นถึงความรักความกตัญญูของสมาชิกในครอบครัว แซนโดนตา หมายถึง การทำบุญให้ยาย และตา หรือบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ตรงกับวันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๑๐ ชาวเขมรถือว่า เป็นวันรวมญาติซึ่งทุกคนจะไปรวมกัน ณ บ้านที่จุดศูนย์กลางของครอบครัวโดยเฉพาะ บ้านของผู้ที่อาวุโส ที่สุดของครอบครัว ผู้ที่จะมาต้องเตรียมของเซ่นไหว้ (นม แนก เจก อันซอม) เช่น ไก่ เนื้อ หมู ปลา ข้าวสาร ข้าวสวย กล้วย ผลไม้ ขนม กระยาสารท และข้าวต้มหางยาว ใส่ “กันเจือโดนตา” เพื่อมาไหว้บรรพบุรุษของโดยมีความเชื่อกันว่าผู้ที่ตายแล้ว จะต้องไปอยู่ที่ยมโลก เมื่อถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 วิญญาณก็จะได้รับอนุญาต ให้มาเยี่ยมลูกหลานในเมืองมนุษย์ การเดินทางอันแสนไกลนี้ ทำให้เหน็ดเหนื่อยหิวโซ ต้องแวะตามวัดต่างๆ เพื่อให้ได้รับส่วนบุญที่ลูกหลานอุทิศส่งไปให้ หากไม่ได้รับวิญญาณบรรพบุรุษก็จะโกรธและสาปแช่งเป็นผลทำให้ลูกหลาน “โกนเจา” หากินไม่ขึ้น
...แต่ถ้าหากว่าลูกหลานทำพิธีแซนโดนตาให้วิญญาณบรรพบุรุษก็จะอวยชัยให้พรให้ลูกลานเจริญก้าวหน้าในทุกๆด้าน
ด้วยความเชื่อนี้จึงมีการเซ่นและทำบุญล่วงหน้าเพื่อให้ วิญญาณบรรพบุรุษได้เสวยบุญจะได้มีแรงมาเยี่ยมลูกหลาน จึงมีการทำขนมข้าวต้มตั้งแต่วันขึ้น 14 ค่ำ และรุ่งขึ้น 15 ค่ำ ก็จะนำอาหาร ขนม ข้าวต้ม ไปทำบุญที่วัดเรียกว่า "ดาร" ตอนนี้เรียกว่า "เบ็นตูจ" (สาร์ทเล็ก) เล่ากันว่าผีส่วยกับผีลาว จะหิวเร็วกว่าผีเขมร ทางหมู่บ้านส่วยส่วยกับลาวจึงจัดกันในวันเบ็นตูจ ส่วนหมู่บ้านเขมรในวันแรม 14 ค่ำ จะมีการทำบุญ ครั้งใหญ่อีกครั้ง เรียกว่า " เบ็นทม" ซึ่งห่างจาก "เบ็นตูจ " 15 วัน ซึ่งเป็นช่วงที่วิญญาณทั้งหลายได้รับอนุญาตให้มาเยี่ยม ลูกหลาน ดังนั้นในช่วง 15 วันนี้จะมีประเพณีทำบุญให้ทานอย่างต่อเนื่องกันจนครบ 15 วัน เรียกว่า "กันสงฆ์"
"จูนโดนตา" เป็นประเพณีอย่างหนึ่งคือก่อนถึง " เบ็นทม " บรรดาลูกหลานที่แต่งงานไปเป็นเขย หรือ สะใภ้อยู่หมู่บ้านอื่น หรือที่อยู่ ต่างจังหวัดไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหนก็ตาม จะต้องส่งข้าวสาร์ท “กันจือโดนตา” นี้ไปให้พ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เพื่อให้ท่านได้ใช้เครื่องเซ่นนั้นทำพิธีเซ่นต่ออีกทีหนึ่ง ส่วนปู่ ย่า ตา ยาย ก็จะมอบสิ่งของตอบแทนให้ จะเป็นผ้าซิ่น ผ้าไหม หรือสิ่งใดก็แล้วแต่ เป็นรางวัลให้ลูกหลานผู้รู้จักกตัญญู ในช่วงหัวค่ำวันเดียวกัน จะมีการ “เฮาโดนตา” เมื่อพี่น้องลูกหลานมาพร้อมหน้ากันแล้วก็ทำพิธีจุดธูปเทียน โดยผู้อาวุโสที่สุดจะเป็นผู้บอกกล่าวอัญเชิญวิญญาณของบรรพบุรุษ คนแก่เขาจะรู้ขั้นตอนนี้ดีจะมีคำกล่าวคำเชิญเฉพาะ แต่ผู้ที่ไม่เป็นก็เพียงแค่กล่าวเอ่ยชื่อ นามสกุลของบรรพบุรุษให้ถูกต้อง มีศักดิ์เป็นปู่เป็นทวดอย่างไรก็เอ่ยให้ถูกต้องก็ใช้ได้แล้ว และคนกล่าวอาวุโสรองลงมาตามลำดับ จะต้องเอ่ยชื่อ ของบรรพบุรุษให้ถูกต้องครบถ้วนทุกคน เพื่อให้มากินของเซ่นโดยทั่วกัน ถ้าเรียกชื่อไม่ถูกเขาไม่มากินของเซ่นนะ ใ นขณะกล่าวเชิญก็กรวดน้ำไปด้วย เรียกว่า "แซนโดนตา " หรือ เฮาโดนตาโดนเย็ย...
โดยเริ่มกล่าว แซนโดนตาดังต่อไปนี้ .............
"นะโมเมนะมัสการ อัญจัญตีวดา นองสถานทินิแนะสถานตีปะเสง ๆ เออะตองมะเหสะสะเมืองแดนสะเตือล เนิวนองสถานตีวนิ แนะสถานตีปะเสง ๆ ออย ตองขมอจมีบาโดนตา ไถงนิ ไถงก็เจีย เวลีย์ก็ละออ ขยมซมอัญจืญโจลโมรับเกรือง โฮบปซา กะนองเวลียนิปรอม ๆ คเนีย โฮบปซา กระยาบูเจีย กะนองวีเลียนิ ออปรวม ๆ คเนีย (แล้วรดน้ำอัญเชิญพร้อมกล่าวว่า ) แม เอิว แยย ตา โมดอลเหย ออยเลียงใดเลียงจึงโมโฮบปซา แดลโกนเจารีบตะตูล เมียนสรา นมเนกเจกอันซอม กรุบกรึงเหยนา อัญจือโมโฮบปซาออยบอรโบรร.... "
พอได้เวลาตีสาม หรือเวลาประมาณ 3 นาฬิกาของวันรุ่งขึ้น(แรม 15 ค่ำเดือน 10 ) ชาวบ้านก็จะนำเครื่องเซ่นนี้ไปแห่เวียนรอบศาลาวัดหรืออุโบสถ 3 รอบ แล้วนำขึ้นไปให้พระสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลทำพิธีกรรมทางศาสนา โดยนำขนมข้าวต้ม กล้วยเป็นกระบุง ไก่ย่างเป็นตัว อาหารคาวหวานผลไม้ต่าง ๆ ตามที่กล่าวถวายพระแล้ว พระจะได้ฉันมื้อนี้แต่เช้ามืด
เสร็จแล้วชาวบ้านก็จะนำเครื่องเซ่นที่พระสวดแล้วไปวางตามสถานที่ที่เหมาะสมเช่น ตามรั้ววัด ตามธาตุเจดีย์ หรือตามโคนไม้ เพื่อผีวิญญาณเร่ร่อนจะได้มากิน บางคนก็นำออกไปวางตามไร่นาของตน ตามที่คิดว่าน่าจะมีผีเจ้าสถิตย์อยู่ สำหรับผู้ที่อยู่ทางบ้านจะเตรียม "บายบัดตะโบร" หมายถึง กระทงใส่ก้อนข้าวสุกจำนวน ๔๙ ก้อน (เนื่องจากเชื่อว่านางวิสาขาปั้นอาหารมาถวายพระพุทธเจ้า พระองค์ฉันเพียง ๔๙ เม็ด เท่านั้น) เพื่อนำไปถวายพระในตอนเช้า เสร็จพิธีแล้วจะนำบายบัดตะโบรไปใส่ไร่นา เพื่อให้เกิดความสิริมงคลข้าวปลาในไร่นาจะได้อุดมสมบูรณ์ต่อไป
ประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติตามประเพณีนี้ ทำให้รู้จักการกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ สืบสานพระพุทธศานา มีวัฒนธรรมและจารีตที่งดงาม
*ประเพณีแซนโดนตานี้ เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากๆเลย ที่อาหารหรือของที่นำมาแซนโดนตานี้ หลังจากผ่านการเซ่นแล้ว อาหารทุกอย่างจะจืดชืด เย็น และไม่มีรสชาดของอาหารนั้น หลงเหลืออยู่เลย เพราะว่าโดนตามากินของที่เซ่นนี้จริงๆ .....ถ้าไม่เชื่อในตอนเช้าลองเอาของที่เขาเซ่นแล้ว (อย่างเช่นไก่ย่างชิ้นโตๆทั้งตัวที่เซ่นแล้ว) มารับประทานดู จะเย็น จืดชืด และไม่มีรสชาดของอาหารนั้นหลงเหลืออยู่เลย หากเปรียบเทียบกันไก่ย่างที่ไม่ได้ผ่านการเซ่น จะยังคงมีรสชาดของไก่ย่างอยู่..... ก็น่าแปลกเหมือนกัน.......
*มีความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีแซนโดนตาอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า......ถ้ามีลูกหลานคนไหนไปทำงานที่กรุงเทพแล้วไม่ยอมกลับมาบ้านเกิดโดยทางบ้านไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง ในช่วงหัวค่ำพิธี เฮาโดนตา จะเรียกชื่อให้คนนั้นมากินของเซ่นนี้ด้วย ถ้าหากว่าคนที่ถูกเรียกชื่อให้มากินนี้ยังมีชีวิตอยู่ เขาจะกระวนกระวายจนอยู่ไม่ได้และต้องกลับมาที่บ้านเกิดของตัวเอง ก็เป็นวิธีการเรียกลูกหลานที่ “ปราจ เซราะ” (พรากหมู่บ้าน) ที่ได้ผลดีทีเดียว.......ซึ่งถ้าหากว่าเป็นเรื่องราวของวิทยาศาสตร์ก็บอกได้คำเดียวว่าหมดสิทธิ์ครับ...