ให้ความบันเทิงเหมาะสม เพียงใด

วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ประเพณีแซนโฎนตา ขุขันธ์วิทยา

ประเพณีแซนโดนตา
ในท้องทุ่งกว้าง ใต้แสงตะวัน
เด็ก ๆ (โกนเจา)ได้เรียนรู้และสัมผัสวิถีชีวิตวัฒนธรรมที่เรียบง่าย
โดยมีผู้ใหญ่ ครอบครัว ชุมชน และธรรมชาติเป็นครู
โลกแห่งการเรียนรู้ของเด็กน้อย วัยใส
จึงเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ร่าเริง และรื่นรมย์  จนกระทั่งฉันเติบโต เห็นในคุณค่าของสิ่งที่สืบทอดมาจาก แม เอว ตา เย็ย.......
1
......ประเพณีแซนโดนตา.....
                
เป็นประเพณีหนึ่งที่มีความสำคัญที่ปฏิบัติทอดกัน มาอย่างช้านานของชนเผ่าเขมรเป็นการแสดงออก ถึงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ สะท้อนให้เห็นถึงความรักความกตัญญูของสมาชิกในครอบครัว แซนโดนตา หมายถึง การทำบุญให้ยาย และตา หรือบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ตรงกับวันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๑๐ ชาวเขมรถือว่า เป็นวันรวมญาติซึ่งทุกคนจะไปรวมกัน ณ บ้านที่จุดศูนย์กลางของครอบครัวโดยเฉพาะ บ้านของผู้ที่อาวุโส ที่สุดของครอบครัว ผู้ที่จะมาต้องเตรียมของเซ่นไหว้  (นม แนก เจก อันซอม) เช่น ไก่ เนื้อ หมู ปลา ข้าวสาร ข้าวสวย กล้วย ผลไม้ ขนม กระยาสารท และข้าวต้มหางยาว ใส่ กันเจือโดนตาเพื่อมาไหว้บรรพบุรุษของโดยมีความเชื่อกันว่าผู้ที่ตายแล้ว จะต้องไปอยู่ที่ยมโลก เมื่อถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 วิญญาณก็จะได้รับอนุญาต ให้มาเยี่ยมลูกหลานในเมืองมนุษย์ การเดินทางอันแสนไกลนี้ ทำให้เหน็ดเหนื่อยหิวโซ ต้องแวะตามวัดต่างๆ เพื่อให้ได้รับส่วนบุญที่ลูกหลานอุทิศส่งไปให้ หากไม่ได้รับวิญญาณบรรพบุรุษก็จะโกรธและสาปแช่งเป็นผลทำให้ลูกหลาน โกนเจาหากินไม่ขึ้น 
002
 ...
แต่ถ้าหากว่าลูกหลานทำพิธีแซนโดนตาให้วิญญาณบรรพบุรุษก็จะอวยชัยให้พรให้ลูกลานเจริญก้าวหน้าในทุกๆด้าน
ด้วยความเชื่อนี้จึงมีการเซ่นและทำบุญล่วงหน้าเพื่อให้ วิญญาณบรรพบุรุษได้เสวยบุญจะได้มีแรงมาเยี่ยมลูกหลาน จึงมีการทำขนมข้าวต้มตั้งแต่วันขึ้น 14 ค่ำ และรุ่งขึ้น 15 ค่ำ ก็จะนำอาหาร ขนม ข้าวต้ม ไปทำบุญที่วัดเรียกว่า "ดาร" ตอนนี้เรียกว่า "เบ็นตูจ" (สาร์ทเล็ก) เล่ากันว่าผีส่วยกับผีลาว จะหิวเร็วกว่าผีเขมร ทางหมู่บ้านส่วยส่วยกับลาวจึงจัดกันในวันเบ็นตูจ ส่วนหมู่บ้านเขมรในวันแรม 14 ค่ำ จะมีการทำบุญ ครั้งใหญ่อีกครั้ง เรียกว่า " เบ็นทม" ซึ่งห่างจาก "เบ็นตูจ " 15 วัน ซึ่งเป็นช่วงที่วิญญาณทั้งหลายได้รับอนุญาตให้มาเยี่ยม ลูกหลาน ดังนั้นในช่วง 15 วันนี้จะมีประเพณีทำบุญให้ทานอย่างต่อเนื่องกันจนครบ 15 วัน เรียกว่า "กันสงฆ์"

"
จูนโดนตา" เป็นประเพณีอย่างหนึ่งคือก่อนถึง " เบ็นทม " บรรดาลูกหลานที่แต่งงานไปเป็นเขย หรือ สะใภ้อยู่หมู่บ้านอื่น หรือที่อยู่ ต่างจังหวัดไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหนก็ตาม จะต้องส่งข้าวสาร์ท กันจือโดนตานี้ไปให้พ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย  เพื่อให้ท่านได้ใช้เครื่องเซ่นนั้นทำพิธีเซ่นต่ออีกทีหนึ่ง  ส่วนปู่ ย่า ตา ยาย ก็จะมอบสิ่งของตอบแทนให้ จะเป็นผ้าซิ่น ผ้าไหม หรือสิ่งใดก็แล้วแต่ เป็นรางวัลให้ลูกหลานผู้รู้จักกตัญญู    ในช่วงหัวค่ำวันเดียวกัน จะมีการ เฮาโดนตา เมื่อพี่น้องลูกหลานมาพร้อมหน้ากันแล้วก็ทำพิธีจุดธูปเทียน  โดยผู้อาวุโสที่สุดจะเป็นผู้บอกกล่าวอัญเชิญวิญญาณของบรรพบุรุษ  คนแก่เขาจะรู้ขั้นตอนนี้ดีจะมีคำกล่าวคำเชิญเฉพาะ  แต่ผู้ที่ไม่เป็นก็เพียงแค่กล่าวเอ่ยชื่อ นามสกุลของบรรพบุรุษให้ถูกต้อง มีศักดิ์เป็นปู่เป็นทวดอย่างไรก็เอ่ยให้ถูกต้องก็ใช้ได้แล้ว  และคนกล่าวอาวุโสรองลงมาตามลำดับ  จะต้องเอ่ยชื่อ ของบรรพบุรุษให้ถูกต้องครบถ้วนทุกคน  เพื่อให้มากินของเซ่นโดยทั่วกัน ถ้าเรียกชื่อไม่ถูกเขาไม่มากินของเซ่นนะ ใ นขณะกล่าวเชิญก็กรวดน้ำไปด้วย เรียกว่า "แซนโดนตา " หรือ เฮาโดนตาโดนเย็ย...
โดยเริ่มกล่าว แซนโดนตาดังต่อไปนี้  .............          
  
"นะโมเมนะมัสการ อัญจัญตีวดา นองสถานทินิแนะสถานตีปะเสง ๆ เออะตองมะเหสะสะเมืองแดนสะเตือล เนิวนองสถานตีวนิ แนะสถานตีปะเสง ๆ ออย ตองขมอจมีบาโดนตา  ไถงนิ ไถงก็เจีย เวลีย์ก็ละออ  ขยมซมอัญจืญโจลโมรับเกรือง โฮบปซา กะนองเวลียนิปรอม ๆ คเนีย โฮบปซา กระยาบูเจีย กะนองวีเลียนิ ออปรวม  คเนีย (แล้วรดน้ำอัญเชิญพร้อมกล่าวว่า ) แม เอิว แยย ตา โมดอลเหย ออยเลียงใดเลียงจึงโมโฮบปซา แดลโกนเจารีบตะตูล เมียนสรา นมเนกเจกอันซอม กรุบกรึงเหยนา อัญจือโมโฮบปซาออยบอรโบรร.... "
001 ลูกหลานโกนเจาทุกคนก็ช่วยกันจับของเซ่นลงกันจือโดนตา  เมื่อครบทุกคนแล้วก็หยุดพักระยะหนึ่ง รออีกระยะประมาณ ๓-๔ นาที ก็รินน้ำ เหล้า น้ำส้ม ใหม่ แล้วทำพีธีต่ออีกจนครบคนละ 3 รอบ  รอบสุดท้ายนี้ให้รวมหยาดน้ำพร้อมกันเป็นอันเสร็จพิธี  แล้วนำเครื่องเซ่นส่วนหนึ่งออกไปโปรยข้างนอกเพื่อเผื่อแผ่แก่ผีพเนจร ผีไม่มีญาติ ผีอื่น ๆ ตามความเชื่อ  แต่ผู้เฒ่าผู้แก่จะยังทำพิธีเซ่นไหว้และกรวดน้ำนี้เป็นระยะ  บางคนก็ทำตลอดคืน  ตื่นนอนเมื่อไรก็เซ่นไหว้กันตอนนั้น  ดึก ๆ เงียบสงัดจะได้ยินเสียงบ้านไกล้เรือนเคียงร้องเรียกวิญญาณบรรพบุรุษดังมาเป็นระยะ ๆ  บางครั้งก็ให้รู้สึกโหยหวนวังเวงน่าขนลุกเหมือนกัน  (เหอ ๆ ๆ).....
พอได้เวลาตีสาม หรือเวลาประมาณ 3 นาฬิกาของวันรุ่งขึ้น(แรม 15 ค่ำเดือน 10 )  ชาวบ้านก็จะนำเครื่องเซ่นนี้ไปแห่เวียนรอบศาลาวัดหรืออุโบสถ 3 รอบ แล้วนำขึ้นไปให้พระสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลทำพิธีกรรมทางศาสนา  โดยนำขนมข้าวต้ม กล้วยเป็นกระบุง ไก่ย่างเป็นตัว อาหารคาวหวานผลไม้ต่าง ๆ ตามที่กล่าวถวายพระแล้ว  พระจะได้ฉันมื้อนี้แต่เช้ามืด


003

เสร็จแล้วชาวบ้านก็จะนำเครื่องเซ่นที่พระสวดแล้วไปวางตามสถานที่ที่เหมาะสมเช่น ตามรั้ววัด ตามธาตุเจดีย์  หรือตามโคนไม้  เพื่อผีวิญญาณเร่ร่อนจะได้มากิน  บางคนก็นำออกไปวางตามไร่นาของตน ตามที่คิดว่าน่าจะมีผีเจ้าสถิตย์อยู่ สำหรับผู้ที่อยู่ทางบ้านจะเตรียม "บายบัดตะโบร" หมายถึง กระทงใส่ก้อนข้าวสุกจำนวน ๔๙ ก้อน (เนื่องจากเชื่อว่านางวิสาขาปั้นอาหารมาถวายพระพุทธเจ้า พระองค์ฉันเพียง ๔๙ เม็ด เท่านั้น) เพื่อนำไปถวายพระในตอนเช้า เสร็จพิธีแล้วจะนำบายบัดตะโบรไปใส่ไร่นา เพื่อให้เกิดความสิริมงคลข้าวปลาในไร่นาจะได้อุดมสมบูรณ์ต่อไป
ประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติตามประเพณีนี้ ทำให้รู้จักการกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ  สืบสานพระพุทธศานา มีวัฒนธรรมและจารีตที่งดงาม
*ประเพณีแซนโดนตานี้ เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากๆเลย ที่อาหารหรือของที่นำมาแซนโดนตานี้  หลังจากผ่านการเซ่นแล้ว  อาหารทุกอย่างจะจืดชืด เย็น และไม่มีรสชาดของอาหารนั้น หลงเหลืออยู่เลย  เพราะว่าโดนตามากินของที่เซ่นนี้จริงๆ .....ถ้าไม่เชื่อในตอนเช้าลองเอาของที่เขาเซ่นแล้ว (อย่างเช่นไก่ย่างชิ้นโตๆทั้งตัวที่เซ่นแล้ว) มารับประทานดู จะเย็น จืดชืด และไม่มีรสชาดของอาหารนั้นหลงเหลืออยู่เลย หากเปรียบเทียบกันไก่ย่างที่ไม่ได้ผ่านการเซ่น จะยังคงมีรสชาดของไก่ย่างอยู่..... ก็น่าแปลกเหมือนกัน.......
*มีความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีแซนโดนตาอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า......ถ้ามีลูกหลานคนไหนไปทำงานที่กรุงเทพแล้วไม่ยอมกลับมาบ้านเกิดโดยทางบ้านไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง   ในช่วงหัวค่ำพิธี เฮาโดนตา จะเรียกชื่อให้คนนั้นมากินของเซ่นนี้ด้วย  ถ้าหากว่าคนที่ถูกเรียกชื่อให้มากินนี้ยังมีชีวิตอยู่  เขาจะกระวนกระวายจนอยู่ไม่ได้และต้องกลับมาที่บ้านเกิดของตัวเอง  ก็เป็นวิธีการเรียกลูกหลานที่ ปราจ เซราะ” (พรากหมู่บ้าน) ที่ได้ผลดีทีเดียว.......ซึ่งถ้าหากว่าเป็นเรื่องราวของวิทยาศาสตร์ก็บอกได้คำเดียวว่าหมดสิทธิ์ครับ...
45

วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

พระบรมราโชวาท การดำรงชีพ

คนเราเมื่อมีความสามารถที่ดีเป็นทุนรอนอยู่ ก็จะไม่มีวันอับจน ย่อมหาทางสร้างตัวสร้างฐานะให้ก้าวหน้าได้เสมอ ข้อสำคัญในการสร้างตัวฐานะนั้น จะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไปด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง และความพอเหมาะพอดี ไม่ทำเกินฐานะและกำลัง หรือทำด้วยความเร่งรีบ
พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยขอนแก่น
18 ธันวาคม 2540
คนเราถ้าพอใจในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าทุกประเทศมีความคิด อันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจ มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่า พอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข
พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
4 ธันวาคม 2541
คำว่าพอเพียงความหมายอีกอย่างหนึ่ง มีความหมายกว้างออกไปอีก ไม่ได้หมายถึงการมีพอสำหรับใช้เองเท่านั้น แต่มีความหมายว่า พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง
พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
4 ธันวาคม 2541
ให้พอเพียงก็หมายความว่า มีกิน มีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราก็ได้แต่ว่าพอ แม้บางอย่างอาจจะดูฟุ่มเฟือย แต่ถ้าทำให้มีความสุข ถ้าทำได้ก็สมควรที่จะทำ สมควรที่จะปฏิบัติ
พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
4 ธันวาคม 2541
เศรษฐกิจพอเพียงนี้ให้ปฏิบัติเพียงครึ่งเดียว คือไม่ต้องทั้งหมด หรือแม้จะเศษหนึ่งส่วนสี่ก็พอ ได้ปฏิบัติเกี่ยวกับการพัฒนามาช้านานแล้ว มาบอกว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี่ดีมาก แล้วก็เข้าใจว่าปฏิบัติเพียงเศษหนึ่งส่วนสี่ก็พอนั้น หมายความว่า ถ้าทำได้เศษหนึ่งส่วนสี่ของประเทศก็จะพอ ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียงและทำได้เพียงเศษหนึ่งส่วนสี่ก็พอนั้น ไม่ได้แปลว่า เศษหนึ่งส่วนสี่ของพื้นที่ แต่เศษหนึ่งส่วนสี่ของการกระทำ
พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
4 ธันวาคม 2541
อันนี้ก็ความหมายอีกอย่างของเศรษฐกิจ หรือ ระบบพอเพียง เมื่อปีที่แล้วตอนที่พูดพอเพียง แปลในใจ แล้วก็ได้พูดออกมาด้วย ว่าจะแปลเป็น SELF-SUF-FICIENCY (พึ่งตนเอง) ถึงได้บอกว่าพอเพียงแก่ตนเอง แต่ความจริงเศรษฐกิจพอเพียงนี้กว้างขวางกว่า SELF-SUFFICIENCY คือ SELF-SUFFICIENCYนั้น หมายความว่า ผลิตอะไร มีพอที่จะใช้ ไม่ต้องไปขอซื้อคนอื่น อยู่ได้ด้วยตนเอง (พึ่งตนเอง)”
พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
4 ธันวาคม 2541
ความสุขความเจริญอันแท้จริงนั้น หมายถึง ความสุขความเจริญที่บุคคลแสวงหามาได้ด้วยความเป็นธรรม ทั้งในเจตนาและการกระทำ ไม่ใช่ได้มาด้วยความบังเอิญหรือด้วยการแก่งแย่งเบียดบังมาจากผู้อื่นพระราชดำรัสพระราชทานในพระราชพิธีกาญจนาภิเษก ทรงครองราชย์ครบ 50

พระบรมราโชวาท เกี่ยวกับการศึกษา

"...งานด้านการศึกษา เป็นงานสำคัญที่สุดอย่าง หนึ่งของชาติ เพราะความเจริญและความเสื่อมของชาตินั้น ขึ้น อยู่กับการศึกษาของ พลเมืองเป็นข้อใหญ่ จึงต้องจัดการศึกษาให้เข้มแข็ง ยิ่งขึ้น..."  
    
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร
ณ วิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร 12 ธันวาคม 2512  

 

"...มหาวิทยาลัย มุ่งสั่งสอนนักศึกษาให้เป็นคนเก่ง ซึ่งเป็นการดี แต่นอกจากจะสอนให้เก่งแล้วจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะอบรมให้ดีพร้อมกันไปด้วย ประเทศเราจึงจะได้คนที่มีคุณภาพพร้อมคือ ทั้งเก่งและทั้งดีมาเป็นกำลัง ของบ้านเมือง..."  
    
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะผู้บริหาร
และสภาคณาจารย์มหาวิทยาลัยต่าง ๆ
ณ ศาลาดุสิดาลัย 3 ตุลาคม 2533  

 

"...ผู้ที่เป็นครูอาจารย์นั้น ใช่ว่าจะมีแต่ ความรู้ในทางวิชาการ และในทางการสอนเท่านั้นก็หาไม่ จะต้อง รู้จักอบรมเด็กทั้งในด้าน ศีลธรรมจรรยาและวัฒนธรรม รวมทั้งให้มีความสำนึก รับผิดชอบในหน้าที่ด้วย..."  
    
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร
ของ วิทยาลัยวิชาการศึกษา15 ธันวาคม 2503  

 

"...การศึกษาเป็นเครื่องอันสำคัญในการพัฒนา ความรู้ความคิด ความประพฤติ ทัศนคติ ค่านิยมและคุณธรรมของบุคคล เพื่อให้เป็น พลเมืองดีมีคุณภาพและประสิทธิภาพ เมื่อบ้านเมืองประกอบ ไปด้วย พลเมืองที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ การพัฒนาประเทศ ชาติก็ย่อม ทำให้ได้โดยสะดวกราบรื่นได้ผลที่แน่นอน และรวดเร็ว..."  
    
พระราชดำรัส พระราชทานแก่ครูใหญ่
และนักเรียน ณ ศาลาดุสิดาลัย พระราชวังดุสิต
22 กรกฎาคม 2520  

 

"...การสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าทุกอย่างนั้น ต้องเริ่มต้นที่ การศึกษาพี้นฐานเดิมก่อน เมื่อได้ศึกษาทราบ ชัดถึงส่วนดีส่วนเสียแล้ว จึง รักษาส่วนดีที่มีอยู่แล้วให้คงไว้ แล้วพยายาม ปรับปรุงสร้างเสริมด้วยหลัก วิชา อันประกอบด้วยเหตุผลและความสุจริตจริงใจ ให้ค่อยเจริญงอกงามมั่นคงบริบูรณ์ยิ่ง ๆขึ้นไป..."  
    
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร
ของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 1 พฤศจิกายน 2528  

 

"...ความรู้ที่ใช้ได้ผลนั้น ต้องเป็นความรู้ ที่ถูกต้อง แม่นยำ ชำนาญ นำมาใช้การได้ทันที และนอกจากความรู้ด้าน ลึก คือ วิชาเฉพาะสาขาที่ ศึกษามาโดยตรงแล้ว ความรู้ด้านกว้าง คือ วิชาการอื่น ๆทั่วไป ย่อม เป็นปัจจัยประกอบส่งเสริมอีกส่วนหนึ่งด้วย..."  
    
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร
ของ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 24 มกราคม 2532  

 

"...ผู้ที่เป็น ครู จะต้องนึกถึงความรับผิดชอบ เพราะว่าถ้าเป็นครูแล้วลูกศิษย์จะต้องนับถือ ได้ ต้องวางตัวให้เหมาะสมกับที่เป็นครู ไม่ใช่วางตัวอย่างหนึ่งแล้วมาสอนอีกอย่างหนึ่ง..."  
    
พระราชดำรัส พระราชทานเนื่องในวันการศึกษาสัมพันธ์ 
ณ วิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร 15 มีนาคม 2512  

 

"...ครูที่แท้จริงนั้นต้องเป็นผู้ทำแต่ความดี คือต้องหมั่นขยันและ อุตสาหะพากเพียร ต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเสียสละ ต้องหนักแน่นอดทน และอดกลั้น สำรวมระวังความประพฤติปฏิบัติของตน ให้อยู่ในระเบียบ แบบแผนที่ดีงาม รวมทั้งต้องซื่อสัตย์ รักษาความจริงใจวางใจเป็นกลาง ไม่ปล่อยไปตามอำนาจอคติ..."  
    
พระราชดำรัส พระราชทานแก่ครูอาวุโส 28 ตุลาคม 2523  

 

"...ครูจะต้องตั้งใจในความดีอยู่ตลอดเวลา แม้จะเหน็ดเหนื่อย เท่าไรก็จะต้องอดทนเพื่อพิสูจน์ว่าครูนี้เป็นที่ เคารพสักการะได้ แต่ถ้าครู ไม่ตั้งตัวในศีลธรรมถ้าครูไม่ทำตัวเป็น ผู้ใหญ่เด็กจะเคารพได้อย่างไร..."  
    
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะครู
โรงเรียนราษฎร์ทั่วราชอาณาจักร 
ณ ศาลาผกาภิรมย์ 8 พฤษภาคม 2513  

 

"...ครูนั้นจะต้องให้ความรู้แก่เด็ก ๆ ด้วยความเมตตา ด้วย ความหวังดี คือ ด้วยความเมตตาต่อผู้ที่เป็น ลูกศิษย์ และด้วยความหวังดี ต่อส่วนรวม เพราะถ้าส่วนรวมประกอบด้วยบุคคล ที่มีความรู้ดี ส่วนรวมก็ไปรอด..."  
    
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะ
อาจารย์และนักเรียนโรงเรียนวังไกลกังวล
ณ พระราชวังไกลกังวล หัวหิน 27 พฤษภาคม 2513  

 

"...การที่ได้มีโอกาสมาเรียนในต่างประเทศ นับว่าเป็นประโยชน์ เพราะหลายประเทศ มีความก้าวหน้าในด้านวิชาการ แต่ควรจะพิจารณา ด้วยสติปัญญาว่า อะไรที่ควรจะรับมาเป็น ประโยชน์แก่บ้านเมือง แล้วนำ เอาวิชาความรู้กลับไปช่วยบ้านเมือง..."  
    
พระราชดำรัส พระราชทานแก่นักเรียนไทยในสหรัฐอเมริกา
ณ โรงแรมพลาซ่า นิวยอร์ค 8 มิถุนายน 2510  

 

"...โลกปัจจุบันเต็มไปด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ ฉะนั้น ก่อนที่จะปักใจเชื่ออะไรลงไปควรพิจารณาดู เหตุผลให้ถ่องแท้เสียก่อน แม้แต่ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงแนะให้ใช้สติ และปัญญา ศึกษาค้นคว้าและไตร่ตรองให้แน่ว่า คำสั่งสอน นั้นเป็นความจริงที่เชื่อได้หรือไม่ ไม่ให้สักแต่ว่าเชื่อเพราะว่ามีผู้รู้บัญญัติไว้..."  
    
พระราชดำรัส ในพิธีถวายปริญญากิตติมศักดิ์
ของ มหาวิทยาลัยวิลเลียมส์
ณ วิลเลียมทาวน์ นครนิวยอร์ค 11 มิถุนายน 2510  

 

"...การพึ่งตนเองนั้นขึ้นอยู่กับคุณสมบัติประจำ บุคคลสองอย่าง คือความสามารถนำวิชาการที่ได้ศึกษามาใช้ใน การปฏิบัติงาน กับความ ฉลาดที่จะวินิจฉัยให้เห็นทางเสื่อมทางเจริญพร้อม ทั้งทางที่จะให้พ้น ความเสื่อมเพี่อดำเนินไปให้ถึงความเจริญ..."  
    
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร
ของ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 18 ธันวาคม 2512  

 
คัดลอกจาก กรมประชาสัมพันธ์

พระบรมราโชวาท